ริ้วรอยร่องลึก

ริ้วรอยร่องลึก

ริ้วรอยร่องลึก หรือรอยย่นแบบลึก เกิดจากการทำงานของกล้ามเนื้อของใบหน้า เห็นร่องลึกชัดเมื่ออายุ 40 ปีขึ้นไป สามารถเกิดขึ้นได้หลายบริเวณบนใบหน้า เช่น

  1. รอยย่นบริเวณหน้าผาก เป็นร่องขวางยาวตลอดหน้าผากขนานกัน
  2. รอยย่นที่หางตา
  3. รอยย่นลึกที่คิ้ว ตั้งฉากหระหว่างคิ้ว 2 ข้าง
  4. รอยย่นขวางที่สันจมูก และรอยย่นรอบปาก
  5. รอยร่องลึกบริเวณขอบแก้ม

วิธีการรักษา

  1. ฉีดโบท็อก หรือการใช้สารโบทูลินั่มท๊อกซิน (Botulinum Toxin) จะช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดคลายตัว เพื่อแก้ไขปัญหารอยย่นบนใบหน้าให้กระชับขึ้น การเตรียมตัวก่อนฉีดโบท็อก งดรับประทานยาแอสไพริน สารสกัดจากใบแปะก้วย ยาอิริโทรไมซิน (Erythromycin) ประมาณ 1 สัปดาห์ ก่อนฉีด
  2. ฉีดเมโส หรือเมโสเทอราปี (Mesotherapy) เป็นการฉีดสารต่างๆ เข้าสู่ผิว เช่น วิตามิน กรดอะมิโน หรือสารสกัดต่างๆ เพื่อกระตุ้นระบบการทำงานภายในร่างกาย เริ่มเห็นผลภายใน 1 สัปดาห์หลังฉีด เหมาะสำหรับผู้ไม่ชอบทาครีมบำรุงผิว
  3. ใช้เวชสำอางเสริมการกระชับผิวหน้า เช่น เวชสำอางที่มีส่วนผสมของสมุนไพร กลุ่มที่มีการออกฤทธิ์เหมือนฮอร์โมนเพศหญิง (Phytoestrogen) สารสกัดจากถั่วเหลือง สารสกัดจากสาหร่าย และเปปไทด์ต่างๆ

รอยย่นใต้ขอบตา

รอยย่นใต้ขอบตา

รอยย่นใต้ขอบตา เกิดจากผิวสูญเสียคอลลาเจนและอิลาสติน ทำให้ผิวบางลง ขาดความยืดหยุ่น โดยเฉพาะบริเวณหางตา เปลือกตา ที่จะมีรอยตีนกา รอยย่น รวมถึงการแสดงออกทางสีหน้า เช่น ยิ้ม หัวเราะ ย่นจมูก ท่าทางต่างๆ จะกระตุ้นให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นทำงานหนักขึ้น ทำให้เกิดริ้วรอยได้

การลดรอยย่นใต้ขอบตา

  1. ผลิตภัณฑ์ลดรอยย่นใต้ขอบตา มีส่วนผสมของ อารจิเรลีน (Argireline) กรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic acid) หรือโซเดียม พีซีเอ (Sodium PCA) เป็นต้น
  2. ฉีดใยคอลลาเจนเสริมบริเวณหางตา

การฉีดคอลลาเจน

คอลลาเจนชนิดฉีดมีหลายรูปแบบ

  1. คอลลาเจนชนิดไม่ถาวร ชนิดความเข้มข้นธรรมดา ได้จากการสกัดจากเนื้อวัว ใช้สำหรับปัญหารอยย่นระดับตื้น และปัญหารอยแผลจากสิวทั่วไป ส่วนชนิดความเข้มข้นสูง ใช้สำหรับปัญหารอยย่นระดับลึก โดยคอลลาเจนชนิดนี้สามารถคงอยู่ในร่างกายได้เพียง 2 – 3 ปี เพราะร่างกายของเราสามารถทำลายได้เอง
  2. คอลลาเจนชนิดถาวร สกัดจากสัตว์เช่นเดียวกัน แต่อยู่ได้นานหลายปี และต้องทำการทดสอบว่าเกิดการแพ้เส้นใยคอลลาเจนหรือไม่ ก่อนทำการฉีด
  3. คอลลาเจนของตัวเอง โดยให้แพทย์ตัดผิวหนังของตัวเองนำไปสกัดให้อยู่ในรูปแบบคอลลาเจนเหลวสำหรับฉีดเข้าผิว ข้อดีคือไม่ต้องทดสอบการแพ้ เพราะเป็นคอลลาเจนจากตัวเอง

กระ (Freckles)

กระ (Freckles)

กระ ปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอส่งผลต่อความมั่นใจที่มักพบในกลุ่มคนที่มีผิวขาว โดยมีชนิด ลักษณะ และสาเหตุที่แตกต่างกัน โดยแบ่งออกเป็น 4 ชนิด ดังนี้

  1. กระตื้น มีลักษณะเป็นจุดสีน้ำตาลขนาดเล็ก มีสาเหตุมาจากเซลล์เม็ดสีผิวมีความไวต่อแสงแดดมากกว่าปกติ เมื่อเผชิญแสงแดดจึงเกิดเป็นกระตื้นมักพบบริเวณ โหนกแก้ม จมูก หรือ อาจกระจายทั่วใบหน้า ลำคอ แขนและหน้าอก
  2. กระลึก มีลักษณะเป็นจุดเล็ก หรือเป็นแผ่นสีน้ำตาล เทา ขอบไม่ชัดเจน คล้ายฝ้า มักพบบริเวณโหนกแก้ม หรือสันจมูก มีสาเหตุมาจากความผิกปกติของเซลล์เม็ดสีผิวบริเวณหนังแท้ ซึ่งถูกกระตุ้นโดยแสงแดด หรือฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้น เช่น ช่วงตั้งครรภ์
  3. กระแดด มีลักษณะเป็นจุด หรือปื้นสีน้ำตาล หรือสีดำ ขอบเขตชัดเจน มักพบบริเวณใบหน้า แขน และขา สาเหตุเกิดจากการเผชิญแสงแดดจัดเป็นเวลานาน เช่น จากการเล่นกีฬากลางแจ้ง
  4. กระเนื้อ มีลักษณะเป็นตุ่มเล็กๆ สีน้ำตาลอ่อน หรือสีน้ำตาลเข้ม มักพบบริเวณใบหน้า ลำคอ หน้าอก และหลัง โดยอาจเกิดขึ้นเป็นตุ่มขนาดเล็กและสามารถขยายใหญ่ และนูนชึ้น โดยมีสาเหตุจากเกิดเจริญที่ผิดปกติของหนังกำพร้า ร่วมกับการกระตุ้นจากแสงแดดและอายุที่เพิ่มมากขึ้น

การรักษา

  1. จี้กระด้วยกรด TCA (Trichloroacetic Acid ) เพื่อกระตุ้นให้เกิดการผลัดเซลล์ผิวที่เร็วมากขึ้น กระจึงจางลง ช่วยให้สีผิวแลดูสม่ำเสมอ
  2. รักษาด้วย ND YAG Laser โดยเลเซอร์จะทำให้เม็ดสีผิวเกิดการแตกตัว และจะถูกร่างกายขับออก กระจึงค่อยๆจางลง

การป้องกันและดูแลผิวหลังการรักษา

  1. หลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดงหลังจากการทำการรักษา ประมาณ 1-2 อาทิตย์
  2. ทาผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดเป็นประจำทุกครั้งก่อนเผชิญแสงแดด หากเผชิญแสงแดด เป็นเวลานานควรทาซ้ำเพื่อประสิทธิภาพการป้องกันแสงแดด

ผื่นแพ้สัมผัส

ผื่นแพ้สัมผัส

ผื่นแพ้สัมผัส คือ อาการผื่นคันที่เกิดจากการสัมผัสสิ่งกระตุ้นจากภายนอกร่างกายส่งผลให้เกิดการแพ้ หรือระคายเคืองของผิวหนัง ทำให้เกิดการอักเสบของผิวหนัง ซึ่งสาเหตุที่พบได้บ่อยของผื่นแพ้สัมผัส ได้แก่ กรด ด่าง สบู่ ผงซักฟอก โลหะ เครื่องสำอาง น้ำยาล้างเล็บ ยาง ลาเท็กซ์ ยางไม้ สารเคมีต่างๆ หรือยาบางประเภทเป็นต้น

อาการ

อาการของผื่นแพ้สัมผัสนั้นแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล โดยผื่นที่เกิดขึ้นนั้นโดยปกติจะเกิดขึ้น เฉพาะบริเวณที่สัมผัสกับสารระคายเคือง ซึ่งอาการที่เกิดขึ้นได้คือคัน บวม แดง ตุ่มพุพอง หรือ เป็นรอยแดงบริเวณของสิ่งที่แพ้ เช่น รอยสายนาฬิกา สร้อยคอ ขอบกางเกง เป็นต้น

การป้องกันและรักษา

สังเกตสิ่งแพ้และหลีกเลี่ยงสิ่งที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง บางกรณีอาจจำเป็นต้องทดสอบผิวหนังด้วย Patch Test เพื่อหาสาเหตุ

การใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์ อาจอยู่ในรูปของครีมเหลว น้ำใส หรือขี้ผึ้ง หากเกิดเป็นแผลควรทำ ความสะอาดโดยใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน และทาครีมหรือโลชั่นที่เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่ายเพื่อให้ ผิวชุ่มชื่น ไม่แห้งคันหากมีอาการคันร่วม สามารถรับประทานยาแก้แพ้ ทั้งนี้การใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์หรือยารับประทานแก้แพ้ ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง

Rosacea

Rosacea (โรซาเชีย)

Rosacea (โรซาเชีย) เป็นโรคผิวหนังอักเสบชนิดหนึ่งที่ทำให้เกิดรอยแดง ผื่นแดง ตุ่มแดงหรือ อาจเกิดตุ่มหนองบริเวณใบหน้า จมูก พบได้ไม่บ่อยและในบางครั้งอาจมีลักษณะคล้ายสิว มักเกิดในผู้หญิงวัยกลางคนที่มีผิวขาว

สาเหตุ

ยังไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน อาจเกิดจากปัจจัยทั้งทางพันธุกรรมและปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งปัจจัย ที่จะกระตุ้นทำให้อาการของโรคเป็นมากขึ้นได้ ได้แก่

  1. การออกกำลังกายที่หักโหม
  2. ความเครียด
  3. อุณหภูมิที่ร้อนจัดหรือเย็นจัด แ
  4. สงแดดและลม
  5. ดื่มน้ำในอุณหภูมิที่ร้อนจัด ดื่มแอลกอฮอลล์ หรือรับประทานอาหารรสเผ็ด
  6. การรับประทานยาที่ขยายหลอดเลือด บางครั้งรวมถึงการใช้ยาลดความดันโลหิตบางชนิด

อาการ

เกิดรอยแดงหรือผื่นแดงบริเวณใบหน้า โดยเฉพาะบริเวณแก้มและจมูก อาจเห็นเส้นเลือดได้ชัดเจน มีตุ่มแดงหรือตุ่มหนองคล้ายสิว อาจมีความรู้สึกร้อนหรือกดเจ็บที่บริเวณผื่นได้ นอกจากนี้อาจเกิด อาการตาแดง ตาแห้ง ระคายเคืองตา เปลือกตาบวม

บางกรณีอาจเกิด Rhinophyma หรืออาการจมูกสิงโต เป็นภาวะที่ผิวหนังเกิดเป็นปุ่มนูนบริเวณจมูก เนื่องจากการสร้างเนื้อเยื่อที่หนาขึ้น มักพบในผู้ชายที่มีอาการมาหลายๆ ปี

การรักษา

เนื่องจากโรค Rosacea ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ และเกิดอาการซ้ำได้บ่อยครั้ง ดังนั้น การรักษาจึงเป็นการเน้นควบคุมอาการ ซึ่งระยะเวลาและวิธีการรักษาขึ้นอยู่กับบุคคลและความรุนแรงของอาการ

เซ็บเดิร์ม

เซ็บเดิร์ม (Seborrheic Dermatitis)

เซ็บเดิร์ม หรือ Seborrheic Dermatitis เป็นโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรัง ที่มีสาเหตุไม่แน่ชัด อาจเกิดจากต่อมไขมันในชั้นผิวหนังอักเสบ หรือเกิดจากเชื้อรา Pityrosporum Ovale ในผู้ใหญ่ หรือ เชื้อ Candida ในเด็ก ร่วมกับปัจจัยส่งเสริมอื่นๆ เช่น ความเครียด ฮอร์โมน อาหาร แอลกอฮอล์ อากาศ สภาพแวดล้อม หรือการบกพร่องของระบบภูมิคุ้มกัน

บริเวณที่พบบ่อยของผื่นเซ็บเดิร์ม

  • เด็ก มักเกิดผื่นบริเวณศีรษะหรือใบหน้า
  • ผู้ใหญ่ มักพบบริเวณหนังศีรษะ คิ้ว บริเวณข้างจมูก หลังหู และอาจพบบริเวณหน้าอกและ แผ่นหลังด้วย

ลักษณะอาการ

อาการของเซ็บเดิร์มมักพบผิวแห้งเป็นปื้นๆ มีขุยสีเหลือง ผิวบริเวณนั้นมันมาก หากเป็นบริเวณศีรษะจะมีลักษณะเหมือนรังแค เป็นขุยแห้งสีเหลือง อาจมีอาการคัน และผมร่วงร่วมด้วย

การรักษาโรคเซ็บเดิร์ม

เซ็บเดิมเป็นโรคเรื้อรัง รักษาไม่หายขาด แต่สามารถควบคุมอาการได้ สำหรับผู้ที่เป็นเซ็บเดิร์มบริเวณหนังศีรษะ แนะนำให้ใช้แชมพูที่มีส่วนผสมของ Coal tar หรือ Ketoconazole นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงความเครียดและควรพักผ่อนให้เพียงพอ หมั่นออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงอยู่เสมอ

สิวที่หลัง

สิวที่หลัง

สิวที่หลังส่วนใหญ่มีสาเหตุจากเชื้อยีสต์ อาจเกิดจากเหงื่อไคลสะสมที่เกิดจากการออกกำลังกาย หรือผู้ที่มีเหงื่อออกมากในระหว่างวัน โดยเชื้อยีสต์จากหนังศีรษะไหลลงมาที่หลังและหน้าผาก

วิธีดูแลรักษาสิวที่หลัง

  1. ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีผสมส่วนผสมของสารขจัดเชื้อยีสต์ โดยฟอกบริเวณแผ่นหลังขณะอาบน้ำวันละ 1-2 ครั้ง
  2. หลังอาบน้ำแนะนำให้ใช้ Clarifying Lotion No.4 เช็ดทำความสะอาดแผ่นหลังวันละ 2 ครั้ง เนื่องจาก Clarifying Lotion No.4 มีส่วนผสมของ Aluminium Chlorohydrate ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดเหงื่อกรณีเป็นคนเหงื่อออกมากหรือเล่นกีฬาเป็นประจำ ควรใช้สารระงับเหงื่อ เช่น Axill Antiperspirant Spray ฉีดหรือทาบริเวณแผ่นหลัง
  3. ใช้แป้งน้ำ หรือ Acne Lotion หรือ Antiseptic Dry Lotion เพื่อความคุมความมัน ลดการอุดตัน ของร่องขุมขนบริเวณแผ่นหลัง โดยทาทั้งเช้าและก่อนนอน
  4. กรณีอาการไม่ทุเลาภายใน 1 เดือน ต้องรับประทานยาฆ่าเชื้อยีสต์ ภายใต้การดูแลของแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญโรคผิวหนังโดยเฉพาะ ไม่ควรซื้อยารับประทานเอง

วิธีป้องกันสิวที่หลัง

  1. ใส่เสื้อผ้าหลวม ๆ หรือเสื้อผ้าที่สามารถระบายเหงื่อได้ดี ขณะออกกำลังกาย
  2. อาบน้ำและสระผมทันทีหลังออกกำลังกาย เพราะคราบเหงื่อไคลที่สะสมอยู่ในเสื้อ เป็นสาเหตุหนึ่ง ของการเกิดสิว

ผื่นแพ้สัมผัส

ผื่นแพ้สัมผัส

ผื่นแพ้สัมผัส คือ อาการผื่นคันที่เกิดจากการสัมผัสสิ่งกระตุ้นจากภายนอกร่างกายส่งผลให้เกิดการแพ้ หรือระคายเคืองของผิวหนัง ทำให้เกิดการอักเสบของผิวหนัง ซึ่งสาเหตุที่พบได้บ่อยของผื่นแพ้สัมผัส ได้แก่ กรด ด่าง สบู่ ผงซักฟอก โลหะ เครื่องสำอาง น้ำยาล้างเล็บ ยาง ลาเท็กซ์ ยางไม้ สารเคมีต่างๆ หรือยาบางประเภทเป็นต้น

อาการ

อาการของผื่นแพ้สัมผัสนั้นแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล โดยผื่นที่เกิดขึ้นนั้นโดยปกติจะเกิดขึ้น เฉพาะบริเวณที่สัมผัสกับสารระคายเคือง ซึ่งอาการที่เกิดขึ้นได้คือคัน บวม แดง ตุ่มพุพอง หรือ เป็นรอยแดงบริเวณของสิ่งที่แพ้ เช่น รอยสายนาฬิกา สร้อยคอ ขอบกางเกง เป็นต้น

การป้องกันและรักษา

สังเกตสิ่งแพ้และหลีกเลี่ยงสิ่งที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง บางกรณีอาจจำเป็นต้องทดสอบผิวหนังด้วย Patch Test เพื่อหาสาเหตุ

การใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์ อาจอยู่ในรูปของครีมเหลว น้ำใส หรือขี้ผึ้ง หากเกิดเป็นแผลควรทำ ความสะอาดโดยใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน และทาครีมหรือโลชั่นที่เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่ายเพื่อให้ ผิวชุ่มชื่น ไม่แห้งคันหากมีอาการคันร่วม สามารถรับประทานยาแก้แพ้ ทั้งนี้การใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์หรือยารับประทานแก้แพ้ ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง

ลมพิษ

ลมพิษ (Urticaria)

ลมพิษ หรือผื่นลมพิษ (Urticaria) เป็นอาการแสดงทางผิวหนัง ที่มีลักษณะเป็นผื่นนูน แดง และคัน

ซึ่งเกิดได้จากหลายปัจจัย อาจเกิดจากสาเหตุที่ร่างกายมีปฏิกิริยาต่อยา อาหาร การติดเชื้อ สิ่งกระตุ้น ทางกายภาพ (Physical) หรือโรคในระบบอื่นๆ ของร่างกาย

อาการและอาการแสดง

มีผื่นเป็นลักษณะบวมนูน แดง เป็นปื้น ขอบเขตชัดเจน มีขนาดไม่แน่นอน บางรอยโรคจะมีสีซีด ตรงกลาง เกิดขึ้นบริเวณใดของร่างกายก็ได้ บางรายอาจมีอาการบวมใต้ชั้นผิวหนังที่เรียกว่า แองจิโออีดีมา (angioedema) ร่วมด้วย มักเกิดบริเวณเนื้ออ่อน เช่น หนังตา ริมฝี ปาก เป็นต้น ผื่นมักจะจางหายภายใน 24 ชั่วโมง เมื่อหายแล้วจะเป็นผิวหนังปกติไม่มีร่องรอยเหลืออยู่ ผื่นมักจะเป็นๆหายๆ

โรคลมพิษแบ่งตามระยะเวลาที่เกิดได้ 2 ชนิด คือ

  1. ลมพิษแบบเฉียบพลัน (acute urticaria) คือมีอาการผื่นลมพิษ ต่อเนื่องกันไม่เกิน 6 สัปดาห์
  2. ลมพิษแบบเรื้อรัง (chronic urticaria) คือมีอาการผื่นลมพิษ ต่อเนื่องกันเกิน 6 สัปดาห์ ลมพิษที่เกิดขึ้นเมื่อมีการกระตุ้นจากสาเหตุทางกายภาพภายนอก (Physical Urticaria) มีหลายชนิดได้แก่
    – Dermographism urticaria: ลมพิษที่เกิดเมื่อมีการเกา หรือการขีดที่ผิวหนัง
    – Cholinergic urticaria: ลมพิษที่เกิดขึ้นเมื่ออุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้น เช่น เมื่อออกกำลังกาย
    – Cold urticaria: ลมพิษที่เกิดจากความเย็น เช่น สัมผัสกับน้ำเย็นหรืออากาศเย็น
    – Heat urticaria: ลมพิษที่เกิดจากความร้อน เช่น อากาศร้อนหรือสัมผัสกับความร้อน
    – Contact urticaria: ลมพิษที่เกิดขึ้นจากการสัมผัส เช่น ยา เครื่องสำอาง ขนสัตว์ หรือสารเคมีบางชนิด
    – Delayed pressure urticaria: ลมพิษที่เกิดจากการกดทับบนผิวเป็นเวลานาน
    – Aquagenic urticaria: ลมพิษที่เกิดเมื่อสัมผัสกับน้ำ
    – Solar urticaria: ลมพิษเกิดขึ้นเมื่อเผชิญแสงแดดหรือรังสี UV
    – Vibratory angioedema: ลมพิษเกิดขึ้นเมื่อสัมผัสแรงสั่นสะเทือน เช่น เครื่องขุดเจาะถนน หรือหลังใช้เครื่องนวดระบบสั่น

การรักษา

  1. หาสาเหตุ เพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นให้เกิดลมพิษ เช่น ความเครียด อากาศร้อน อาการเย็น ยาบางประเภท สารเคมี
  2. ยาต้านอิสตามีน (H1 and H2-antihistamines)

SUBCISION

SUBCISION

Subcision เป็นการรักษาหลุมสิวโดยใช้เข็มขนาดเล็ก (Nokor Needle) เซาะลงไปใต้ผิวหนัง บริเวณที่เป็นหลุมสิวเพื่อตัดพังผืดที่รั้งหลุมสิว ไม่ให้พังผืดยึดติดกับผิวหนังบริเวณหลุมสิว ส่งผลให้เกิดกระบวนการซ่อมแซมผิวบริเวณดังกล่าว เกิดการสร้างเนื้อผิวหรือสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ทำให้หลุมสิวค่อยๆ ตื้นขึ้น

ขั้นตอนการรักษา

  1. ทำความสะอาดผิวหน้า และทายาชาบนใบหน้าทิ้งไว้ประมาณ 30-45 นาที ก่อนการรักษา
  2. แพทย์จะใช้เข็มสอดเข้าไปใต้ผิวหนังบริเวณแผลเป็นเพื่อตัดผังผืด โดยจะทำการเซาะทีละหลุม
  3. ประคบเย็นเพื่อลดอาการบวมของแผล

ผลข้างเคียงหลังทำ

กิดรอยช้ำจางๆ ขนาดเล็กบริเวณหลุมแผลเป็น ซึ่งจะหายภายใน 1 สัปดาห์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

ผลลัพธ์ที่ได้จากการทำ

หลุมสิวจะค่อยๆตื่นขึ้น โดยจะเห็นผลตั้งแต่การรักษาครั้งแรก และจะเกิดการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ อย่างต่อเนื่องประมาณ 6 เดือน เมื่อรับการรักษาอย่างสม่ำเสมอ

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล