ริ้วรอยชนิดตื้น

ริ้วรอยชนิดตื้น

ริ้วรอยชนิดตื้น

มีสาเหตุเกิดจากเส้นใยคอลลาเจน (Collagen) และเส้นใยอีลาสติน (Elastin) เสื่อมสภาพ เนื่องจากเซลล์ผิวผลิตได้น้อยลง จึงเกิดการหย่อนคล้อยของผิวหน้า และเกิดเป็นริ้วรอย

วิธีการแก้ไขริ้วรอยชนิดตื้นนั้น ควรเลือกใช้เวชสำอางที่มีส่วนผสมของสารกระตุ้นการสร้างเส้น ใยคอลลาเจนเจน (Collagen) และเส้นใยอีลาสติน (Elastin) โดยสารที่ใช้แล้วเห็นผลดังนี้

    1. กลุ่มวิตามินซี เช่น กรดเอธิลอีเธอร์แอสคอบิก (Ethyl ether ascorbic acid) กรดแอสโคบิก (Ascorbic acid) ซึ่งสามารถลดอนุมูลอิสระได้ถึง 55% ลดการผลิตเม็ดสีเมลานิน ซึ่งช่วยให้ผิวกระจ่างใสขึ้น พร้อมทั้งช่วยเสริมสร้างเส้นใยคอลลาเจนเจนและเส้นใยอีลาสติน
    2. สารสกัดจากเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งจากทะเลแอนตาร์กติก ซึ่งมีคุณสมบัติ ช่วยเสริมสร้างเส้นใยคอลลาเจนและอิลาสติน พร้อมคงความชุ่มชื้นให้ผิวไม่แห้งกร้าน
    3. กรดต่างๆ เช่น AHA, BHA, กรดไฟติก (Phytic Acid) หรือกรดดอกไม้ (Flower Acid) เป็นต้น ซึ่งช่วยผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ เผยผิวใหม่ที่แข็งแรง กลุ่มเปปไทด์ (Peptide) ต่างๆ ที่ช่วยเสริมสร้างเส้นใยคอลลาเจนและอิลาสตินในชั้นผิว ช่วยให้ผิวแลดูอ่อนเยาว์
    4. กลูแคน (Glucan) ช่วยเสริมสร้างเซลล์ระบบภูมิคุ้มกันของผิวหนัง (Langerhans cell) ที่เสื่อมสลายไปจากอายุที่เพิ่มขึ้น หรือโดนแสงแดดทำลาย

หรือเวชสำอางที่มีส่วนผสมสารสกัดจากธรรมชาติ เช่น

    1. โรสแมรี่ (Rosemary) มีสารต้านอนุมูลอิสระ มีฤทธิ์คล้ายกับวิตามินอี ช่วยต้านการทำลาย ใยคอลลาเจน
    2. สารสกัดจากเมล็ดองุ่น เป็นสารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระดีกว่าวิตามินซีและอี มีฤทธิ์ลดการอักเสบ ซึ่งเป็นสารเรสเวอราทรอล (resveratrol) ในไวน์องุ่นแดง

ผลัดเซลล์ผิว

ผลัดเซลล์ผิว

ผิวหนังจะมีการผลัดเซลล์หรือ Skin Cycle ทุกๆประมาณ 28 วัน โดยเซลล์เก่าหรือเซลล์ผิว ที่เสื่อมสภาพจะถูกผลัดออก และเซลล์ผิวใหม่ที่เกิดขึ้นใต้ชั้นผิวลึก จะค่อยๆดันตัวขึ้นมาจนถึงผิวชั้นนอกสุด แทนที่เซลล์ผิวเก่าที่ถูกผลัดออก

โดยผิวชั้นหนังกำพร้าจะมีอายุประมาณ 14 วัน หลังจากนั้นจะหลุดออกไปในรูปแบบของขี้ไคล และผิวจะใช้เวลาอีก 14 วัน ในการสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาทดแทนเซลล์ที่หลุดไป ฉะนั้นการผลัดเซลล์ผิวจึงใช้เวลาทั้งหมด 28 วัน

การผลัดเซลล์ผิวโดยการทำทรีทเมนท์เป็นการกระตุ้นผิวให้เกิดการผลัดเซลล์ผิวที่เร็วขึ้น จึงเผยผิวใหม่แข็งแรง และช่วยลดปัญหาสิว รอยสิว หลุมสิว ผิวหมองคล้ำ ฝ้า กระและจุดด่างดำต่างๆ

การผลัดผิวเซลล์ ชนิด Chemical Peel

การผลัดผิวเซลล์โดยใช้สารเคมีเพื่อกระตุ้นให้ผิวเกิดการผลัดเซลล์ผิวที่เร็วขึ้ยโดยแพทย์ผิวหนัง แบ่งออกเป็น 3 ระดับ

    1. ลอกผิวชั้นนอกสุด (Superficial Peel) สูตรเฉพาะของธาดาคลินิก Blue Peel เป็นการผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมีชนิดอ่อน เหมาะสำหรับกลุ่มวัยรุ่น เนื่องจากมีผิวค่อนข้างบาง ใช้สำหรับรักษาสิวหรือรอยแผลเป็นจากสิว และยังใช้ในการรักษาฝ้าที่เป็นไม่มากนัก หลังทำอาจมีการลอกเป็นขุยแต่บางรายอาจไม่มีการลอกเลย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและสามารถทำได้ทุก 2 สัปดาห์ Yellow Peel เป็นการผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมีระดับกลาง ช่วยเปิดรูขุมขน รักษาสิว รอยดำจาก สิวฝ้า ในระยะเริ่มต้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องริ้วรอยไม่มากนัก สามารถทำได้ทุก 2 สัปดาห์และ เห็นผลภายใน 1 – 3 เดือน
    2. ลอกผิวลึกระดับปานกลาง (Medium Peel) TCA (Trichloroacetic Acid) Peel เป็นการผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมีระดับลึก มีความเข้มข้น หลายระดับ ขึ้นอยู่กับการรักษาและสภาพผิวซึ่งแพทย์เป็นผู้วินิจฉัย ใช้ในการรักษาฝ้า สิว และ ปรับสภาพผิวให้ผิวสว่างขึ้น กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ช่วยให้ผิวเรียบเนียนและแต่งตึง สามารถ ทำกับผิวส่วนอื่นนอกเหนือจากบริเวณใบหน้าได้ เช่น รักษาสิวและรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิวบริเวณหลัง ภายหลังการทำจะมีการลอกของเซลล์ผิวที่ตายแล้ว สามารถทำได้ทุก 4 สัปดาห์
    3. ลอกระดับลึก (Deep Peel) มักนิยมใช้สารฟีนอล (Phenol) แต่ความเข้มข้นสูง ซึ่งพบปัญหาแทรกซ้อนพบมาก เช่น หน้าดำ มีแผลบริเวณใบหน้า คล้ายแผลน้ำร้อนลวก การเลือกใช้สารในการผลัดเซลล์ผิวขึ้นอยู่กับสภาพผิวหน้า ปัญหาผิวเป็นสิ่งสำคัญโดยแพทย์จะจะเป็นผู้พิจารณาเพื่อให้ผิวหน้าคนไข้เกิดผลข้างเคียงน้อยที่สุด และได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

ผิวแห้ง

ผิวแห้ง

ผิวแห้งเป็นผิวที่ขาดความชุ่มชื้น เนื่องจากน้ำหรือความชุ่มชื้นในผิวหนังชั้นหนังกำพร้าลดลง

อาจมีปัจจัยที่ทำให้เกิดผิวแห้ง ได้แก่ เพศ อายุ โรคผิวหนัง พันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมภายนอก เช่น

การอาบน้ำร้อน อากาศที่แห้งและเย็น เป็นต้น ซึ่งหากเกิดผิวแห้งมากอาจก่อให้เกิดการอาการแสบคัน และการอักเสบของผิวเนื่องจากการเกาได้

วิธีสังเกตและทดสอบผิวแห้ง

การทดสอบผิวแห้งนั้นเราสามารถทดสอบเองได้โดยลองใช้นิ้วชี้ลูบไล้บริเวณส่วนใดส่วนหนึ่งของ ร่างกาย โดยวิธีดูความหนืดของผิว ซึ่งผิวแห้ง จะมีความหนืดสูงเมื่อลูบไล้บนผิวแล้วมีรอยสะเก็ดสีขาว เมื่อสังเกต จะมองเห็นร่องของผิวชัดเจน อาจมีอาการแดงลอกเป็นขุย แตกลาย โดยมักพบบริเวณ แขน ขา และมือ

    • สารเคลือบผิว (Emollient) เป็นน้ำมันต่างๆ จุดประสงค์เพื่อกักน้ำไม่ให้ระเหยออกจากผิว หรือเพื่อคงความชุ่มชื้นให้ผิวไม่แห้งกร้าน
    • สารเพิ่มความชุ่มชื้น มีหลายชนิดเช่น กรดโพลีกลูตามิก (polyglutamic) ยูเรีย (Urea) กลีเซอรีน (Glycerine) โซเดียมพีซีเอ (Sodium PCA) กรดไฮยารูโลนิก (Hyaluronic Acid)

โดยทั่วไปผิวจะมีน้ำมีนวลจากธรรมชาติสูงสุดเมื่อมีอายุ 18 ปี ซึ่งสารน้ำนวลธรรมชาติประกอบด้วย สารยูเรีย (Urea) กรดน้ำนม (Lactic Acid) โซเดียมพีซีเอ (Sodium PCA) กลุ่มกรดอะมิโน เช่น สารอาร์จินิน (Arginine) อัลลานิน (Alanine) ฯลฯ และมีกลุ่มสารควบคุมความเป็นกรดของผิว (Acid mantle) ให้มี pH 5 เมื่ออายุมากขึ้น สารน้ำนวลธรรมชาติเริ่มลดน้อยลง น้ำมันที่ใบหน้ามีค่าความเป็นกรดด่าง pH 6 จึงเป็นต้องหาสารทดแทน โดยเฉพาะโซเดียมพีซีเอ (Sodium PCA) กรดไฮยารูโลนิก (Hyaluronic Acid) กรดน้ำนม (Lactic Acid) เพื่อควบคุมความเป็นกรดที่สมดุล

ฉะนั้นควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารน้ำนวลธรรมชาติสำหรับผิวหน้าที่มีค่าความเป็นกรด pH 4 เพื่อปรับ pH เป็น 5 ซึ่งเท่ากับ pH ของผิวปกติ และต้องมีส่วนผสมของสารปกป้องผิวสำหรับผิวหน้า และกาย ซึ่งประกอบด้วย สารกรดไขมัน เซราไมด์ 3 (Ceramide 3) และไขมัน เช่น กลุ่มฟอสโฟไลปิดส์ (Phospholipids) คอลเลสเตอรอล (Cholesterol) ซึ่งมักเสื่อมสลายโดยเฉพาะคนที่เป็นโรคภูมิแพ้

ผลักวิตามินผิว

Optimum Nutriment (ผลักวิตามินผิว)

ทรีทเมนท์ที่ผลักอาหารผิวสูตรเฉพาะของธาดาคลินิกให้ซึมลงลึกลงสู่ใต้ผิวโดยไม่ต้องใช้เข็ม

โดยอาศัยคลื่นกระแสไฟฟ้าผลักวิตามินให้ซึมลงสู่ใต้ผิวอย่างล้ำลึก ทำให้ผิวกระจ่างใส เนียนนุ่ม ชุ่มชื้น

รอยด่างดำจางลง รูขุมขนเล็กลง สามารถกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจนได้เพิ่มขึ้น

ระยะเวลาที่ใช้ในการทำทรีทเมนท์

20 – 30 นาที/ครั้ง

ความรู้สึกขณะทำทรีทเมนท์

อาจรู้สึกยิบๆ เบาๆ บริเวณใบหน้า เนื่องจากกระแสไฟฟ้าจากเครื่องกำลังกระตุ้นผิวให้สามารถดูดซึมสารอาหารลงไป

ผลที่ได้รับหลังจากการทำ

    • ผิวกระจ่างใส เนียนนุ่มหลังจากการทำทรีทเม้นท์ทันที
    • รูขุนขนแลดูกระชับ
    • ผิวแลดูอ่อนเยาว์

กี่ครั้งเห็นผล?

เห็นผลตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ แต่ควรทำต่อเนื่อง 3 – 5 ครั้ง ทุก 1 – 2 สัปดาห์ เพื่อผิวที่กระจ่างใสสุขภาพดี

IPL

IPL (Intense Pulsed Light)

IPL คืออะไร?

IPL หรือ Intense Pulsed Light คือเทคนิคในการใช้พลังงานแสงที่มีความเข้มข้นสูง ใช้ในการรักษาและแก้ไขปัญหาผิวพรรณ โดยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิวหนัง สามารถรักษารอยแดง รอยดำจากเม็ดสีส่วนเกิน ที่เกิดจากแสงแดด ช่วยฟื้นฟูสภาพผิว และลดเลือนริ้วรอย

IPL รักษาอะไรได้บ้าง?

    • IPL ใช้รักษากระตื้นและรอยดำโดยการทำลายเม็ดสีผิดปกติให้หลุดลอกออก
    • ลดเลือนริ้วรอยโดยกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจนใหม่ขึ้นมา ทำให้ริ้วรอยเล็กๆ ดูจางลง
    • รอยแดง เส้นเลือดแดงฝอยเล็กๆ
    • กำจัดเส้นขนที่ขึ้นตามบริเวณต่าง ๆ ของร่างกาย

ข้อควรปฏิบัติตัวก่อนการรับการรักษา

    • ควรหลีกเลี่ยงการโดนแดดจัด เช่น อาบแดดหรือไปเที่ยวทะเลก่อนทำการรักษาประมาณ 1-2 สัปดาห์

ผู้ที่ควรหลีกเลี่ยงการทำ IPL

    • ผู้ที่แพ้แสง และผู้ที่ตั้งครรภ์

ระยะเวลาที่ใช้ทำการรักษ

    • ประมาณ 15-30 นาที ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ทำการรักษา

ต้องรับการรักษากี่ครั้งจะเห็นผล?

    • โดยทั่วไปจะเห็นผลตั้งแต่ครั้งแรกหรือครั้งที่ 2 แต่ควรต่อเนื่อง 4 – 6 ครั้ง โดยรับการรักษาเดือนละ 1 ครั้ง

ผลข้างเคียงจากการรักษาด้วย IPL

    • ขณะทำอาจรู้สึกร้อนวูบที่ผิวบ้าง
    • อาจมีรอยแดงซึ่งจะหายไปเองในเวลา 5 – 30 นาที
    • ในกรณีรักษากระตื้นอาจจะเกิดสะเก็ดหลังทำ แต่สะเก็ดจะหลุดประมาณ 3 – 7 วัน

คำแนะนำหลังจากทำการรักษา

    • หลังทำการรักษาด้วย IPL ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดจัดประมาณ 1-2 สัปดาห์และต้องทาครีมกันแดดเป็นประจำ

กลิ่นกาย

กลิ่นกาย

อากาศร้อนๆ แบบนี้ก็มักจะต้องพบเจอกับปัญหากลิ่นกายไม่พึงประสงค์ ว่าแต่คุณเคยสงสัยกันไหมคะว่า กลิ่นกายนั้นเกิดจากอะไร และเพราะอะไรแต่ละคนถึงมีกลิ่นกายไม่เหมือนกันทั้งๆ ที่บางคนออกกำลังกายจนเหงื่อท่วมตัว แต่กลับไม่มีกลิ่นกายขณะที่บางคนใช้ทั้งน้ำหอม ใช้ทั้งผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย แต่ก็ยังมีกลิ่นกายเข้ามารบกวนจิตใจอยู่เรื่อยๆ วันนี้ธาดาคลินิกมีคำตอบ…

กลิ่นกายเกิดจาก?

หากพูดถึงกลิ่นกายหลายคนมักจะคิดว่าเกิดจาก “เหงื่อ” แต่แท้จริงแล้วธรรมชาติของเหงื่อจะไม่มีกลิ่น ซึ่งกลิ่นกายนั้นเกิดจากการที่เหงื่อทำปฏิกิริยากับเชื้อแบคทีเรียคอรินแบกทีเรียม (Corynebacterium) เชื้อแบคทีเรียชนิดแกรมลบและบวก (Gram-Negative and Gram-Positive Bacteria) จนทำให้เกิดกลิ่นกายขึ้นต่างหาก ซึ่งเชื้อแบคทีเรียเหล่านี้มักอาศัยอยู่บริเวณผิวหนัง ตรงรักแร้ ขาหนีบ และตามข้อพับต่างๆ ฉะนั้นแล้วหากไม่อยากมีกลิ่นกายไม่พึงประสงค์ จะต้องหมั่นดูแลและรักษาความสะอาดอย่างถูกวิธีเพื่อป้องกันการเกิดกลิ่นกาย

การดูแลและป้องกันการเกิดกลิ่นกาย

    • หมั่นรักษาความสะอาดร่างกายอยู่เสมอ ด้วยการใช้สบู่ที่มีส่วนผสมของ ไตรโคลซาน (Triclosan) หรือไตรโคลคาร์แบน (Triclocarban) เพื่อช่วยลดการสะสมเชื้อแบคทีเรีย
    • ควรใช้ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายที่มีส่วนผสมของ Aluminum Chlorohydrate เพื่อช่วยลดเหงื่อและเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดกลิ่นกาย
    • ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่โปร่งสบาย ระบายอากาศได้ดี เพื่อลดปัญหาอับชื้นและลดการสะสมเชื้อแบคทีเรีย
    • หลีกเลี่ยงอาหารรสจัดและมีกลิ่นฉุน เช่น กระเทียม หัวหอม ข่า ตะไคร้ พริกไทย เนื่องจากอาหารที่มีกลิ่นฉุนมีส่วนทำให้เกิดกลิ่นกายได้เหมือนกัน อีกทั้งรสชาติเผ็ดร้อนของเครื่องเทศ มีส่วนช่วยกระตุ้นให้เกิดเหงื่อเพิ่มมากขึ้น

การรักษา

    • หากดูแลรักษาความสะอาดอย่างถูกวิธีแล้วไม่เป็นผล การเข้ารับการรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง อาจเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย โดยแพทย์อาจจะแนะนำให้ใช้วิธีไอออนโตโฟเรซิส (Iontophoresis) หรือการฉีดสารโบทูลินั่มท็อกซิน เข้าสู่ผิวหนังตามข้อพับต่างๆ เพื่อช่วยระงับการสร้างเหงื่อ ทั้งนี้การรักษาขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์

ND YAG Laser

ND YAG Laser

เป็นการรักษาด้วยเลเซอร์ ที่มีความปลอดภัย และมีประสิทธิภาพสูง โดยใช้รักษา ฝ้า กระ สีผิวไม่สม่ำเสมอ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน พร้อมทั้งยังสามารถกำจัดขนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ND YAG รักษาอะไรได้บ้าง

    • ช่วยให้ผิวกระชับ พร้อมลดเลือนริ้วรอย
    • ช่วยให้ผิวเรียบเนียน แลดูกระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติ
    • ช่วยลดรอยแผลเป็น รอยดำ และรอยแดงที่เกิดจากสิว
    • ช่วยลดเลือน ฝ้า กระลึก กระตื้น และจุดด่างดำ
    • ช่วยกำจัดขน บริเวณรักแร้ หนวดเครา และขนอ่อนบนใบหน้า

ระยะเวลาในการรักษา

    • แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ จะใช้เวลาในการทำประมาณ 20-30 นาทีต่อครั้ง โดยผลลัพธ์ที่ได้ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล และควรรับบริการอย่างต่อเนื่อง ประมาณ 4 – 5 ครั้ง เพื่อผลการรักษาที่ชัดเจน

ผลข้างเคียงหลังทำ

    1. อาจเกิดรอยแดงบริเวณที่ทำการรักษา แต่จะหายได้เองภายใน 1-2 วัน
    2. ผิวบริเวณที่ได้รับการรักษา จะมีสะเก็ดสีน้ำตาลจางๆ ซึ่งจะหลุดหายไปเองตามธรรมชาติภายใน 1 สัปดาห์

วิธีการดูแลผิวหลังทำเลเซอร์

    • ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดประมาณ 1 – 2 สัปดาห์ และทาครีมกันแดด
    • หลีกเลี่ยงการขัด การโกน การทาโรลออล หรือ สเปรย์ระงับกลิ่นกายบริเวณรักแร้ กำจัดขน

เมโสเทอราพี

Mesotherapy

เมโสเทอราพี (Mesotherapy) คือการใช้เข็มขนาดเล็ก ฉีดสารต่างๆ เช่น วิตามิน ไซโตคายน์ หรือกรดอะมิโน เข้าสู่ผิวหนัง เพื่อกระตุ้นการทำงานของระบบหมุนเวียนต่างๆในร่างกาย เช่น ระบบน้ำเหลือง ระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้การทำงานของเซลล์ผิวบริเวณนั้นๆ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ประโยชน์ของเมโสเทอราพี

 

1. ฉีดเพื่อลดไขมัน และเซลลูไลท์

เป็นการฉีดสารไปยังบริเวณที่ไขมันสะสม เพื่อทำให้ระบบการทำงานของเซลล์ไขมันเปลี่ยนแปลง เพื่อลดการสะสมไขมันบริเวณผิวหนังเช่น บริเวณ ใบหน้า ต้นแขน ต้นขา หรือหน้าท้อง

2. ช่วยให้หน้าใสผิวกระชับ

เมื่ออายุมากขึ้น ผิวของเราจะผลิตสารต้านอนุมูลอิสระได้น้อยลง เกิดปัญหาผิวต่างๆ เช่น ริ้วรอย จุดด่างดำ ผิวหมองคล้ำ เป็นต้น หากอยากให้ผิวใสดูกระชับ สามารถรักษาได้ด้วยการฉีดสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน และกรดอะมิโนทดแทน ให้ผิวแลดูอ่อนเยาว์

3. แก้ไขปัญหาหลุมสิวและรอยแผลเป็นจากสิว

การฉีดเมโสเทอราพี เป็นหนึ่งในทางเลือกสำหรับคนที่มีปัญหาหลุมสิวและรอยแผลเป็นจากสิว โดยฉีดสาร เช่น วิตามินซี เพื่อกระตุ้นเซลล์ผิวให้ผลิตคอลลาเจนมาเติมเต็ม บริเวณรอยหลุมสิวหรือแผลเป็นจากสิว เพื่อให้ผิวบริเวณนั้นแลดูตื้นขึ้น

4. ปลูกผม แก้ผมร่วง

ผมบางและผมร่วงเกิดจากฮอร์โมนไดไฮโดรเทสโทสะเตอโรน (Dihydrotestosterone) สูง หรือผมบางจากพันธุกรรม รักษาโดยการฉีดวิตามินและสารอาหารที่จำเป็นต่อการสร้างเซลล์ผม เพื่อกระตุ้นเซลล์รากผมให้เกิดการงอกใหม่

ผลลัพธ์หลังฉีดเมโสเทอราพี

ผลลัพธ์หลังฉีดขึ้นอยู่กับสภาพผิว ปริมาณไขมัน และรอยแผลเป็นที่เกิดขึ้น

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น

    1. อาจเกิดการแพ้ หรือรอยฟกช้ำบริเวณที่ฉีดสาร
    2. อาจเกิดแผล หรือแผลเป็นบริเวณที่ฉีดสารเข้าไป

ข้อควรระวัง: ก่อนเข้ารับการรักษา ควรให้แพทย์ประเมินความเสี่ยงทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัย และผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น

ริ้วรอย

ริ้วรอย

เมื่ออายุมากขึ้นผิวของเราจะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา และปัญหาที่ตามมาก็คงหนีไม่พ้น “ริ้วรอยบนใบหน้า” ซึ่งริ้วรอยบนใบหน้านั้นเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การแสดงอารมณ์ทางสีหน้า การยิ้ม การหัวเราะ การดีใจ หรือเสียใจ แต่สาเหตุเหล่านี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งในการเกิดริ้วรอยบนใบหน้าเท่านั้น เพราะสาเหตุที่แท้จริงนั้นเกิดจาก…

สาเหตุ

“ริ้วรอยแบบตื้น” เป็นริ้วรอยบนใบหน้าเกิดจากเส้นใยคอลลาเจน (Collagen) และเส้นอีลาสติน (Elastin) เสื่อมสภาพลง ส่วน “ริ้วรอยแบบร่องลึก” เกิดจากการที่กล้ามเนื้ออยู่ในภาวะเครียด คือ กล้ามเนื้อเกิดการหดตัว เช่น เวลาตกใจ เสียใจ หรือเวลาแสดงอารมณ์ทางสีหน้าต่างๆ โดยริ้วรอยทั้งสองแบบมีวิธีการดูแลรักษาที่แตกต่างกัน ดังนี้

  1. การรักษาริ้วรอยแบบตื้น ควรเลือกใช้เวชสำอางในการบำรุงผิว ที่มีส่วนผสมของสารที่ช่วยกระตุ้นการสร้างเส้นใยคอลลาเจน (Collagen) และเส้นใยยืดหยุ่น (Elastin) ในชั้นผิวเป็นหลัก เช่น
    • วิตามินซี: ช่วยสร้างเส้นใยคอลลาเจนในชั้นผิว ยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน ช่วยให้ผิวขาวกระจ่างใสขึ้น
    • สารสกัดจากทะเลแอนตาร์กติก: ช่วยกระตุ้นให้ผิวสร้างเส้นใยคอลลาเจน เส้นอีลาสติน และช่วยให้ผิวคงความชุ่มชื้น
    • สารกลุ่มเปปไทด์ เช่น กรดอะมิโน (Amino Acid): ช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อใหม่ กระตุ้นการสร้างเส้นใยคอลลาเจนในชั้นผิว ทำให้ริ้วรอยจางลง
    • เบต้ากลูแคน: กระตุ้นการสร้างเส้นใยคอลลาเจน พร้อมคืนความยืดหยุ่นให้ผิวดูอ่อนเยาว์

2. การรักษาริ้วรอยแบบลึก การใช้เวชสำอางบางครั้งอาจไม่ช่วยแก้ไขริ้วรอยแบบลึกได้ ซึ่งการแก้ไขมักนิยมฉีดสารคลายการหดตัวของกล้ามเนื้อ เพื่อให้ริ้วรอยดูจางลง เช่น

    • ฉีดโบท็อกซ์หรือโบทูลินั่มท็อกซิน เพื่อรักษาริ้วรอยบริเวณต่างๆ ทั้งริ้วรอยบริเวณหน้าผาก ริ้วรอยระหว่างคิ้ว และรอยบุ๋มใต้คาง เป็นต้น แต่การฉีดริ้วรอยบริเวณหน้าผาก ไม่ควรฉีดพร้อมกับการฉีดบริเวณระหว่างคิ้ว เพราะอาจทำให้คิ้วตกได้
    • ส่วนการฉีดโบท็อกซ์บริเวณร่องแก้มลึกอาจใช้ไม่ได้ผล ต้องใช้สาร HA หรือ ไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid) หรือเป็นที่รู้จักในนามของ Filler เพื่อเติมเต็มร่องแก้มลึก

ความอ้วน

RF Body Lift ยกกระชับสัดส่วนและสลายไขมันส่วนเกิน

คืนหุ่นสวยและผิวเรียบเนียนด้วยบริการ RF Slimming การนวดกระชับและสลายเซลลูไลท์ด้วยคลื่นวิทยุ Radio Frequency หรือ RF คือการทำงานโดยการปล่อยคลื่นไฟฟ้าอ่อนๆในช่วงระดับความถี่ที่ปลอดภัยลงผ่านผิวเข้าสู่ชั้นไขมันที่ลึกใต้ลงไปทำให้อุณหภูมิในชั้นไขมันเพิ่มขึ้นประมาณ 3-5 องศาเซลเซียส ส่งผลให้ใยคอลลาเจนหดกระชับตัว กระตุ้นให้เกิดการเรียงตัวใหม่ของคอลลาเจนเสื่อมสภาพและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่นอกจากนี้ยังทำให้ระบบโลหิตบริเวณที่รับการรักษาทำงานดีขึ้น หลอดเลือดขยายตัว ทำให้เลือดและน้ำเหลืองไหลเวียนสะดวกขึ้น และเพิ่มขับของเสียออกทางระบบน้ำเหลือง

ข้อดีของการทำ RF

  • เป็นวิธีการดูแลผิวที่ไม่เจ็บ อีกทั้งการนวดยังทำให้เกิดความผ่อนคลาย
  • ไม่ต้องพักฟื้น หลังการรักษาสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ
  • ไม่มีผลข้าง เคียงในการรักษา

ผลที่ได้จากการทำ RF

  • ช่วยเร่งการเผาผลาญของไขมัน
  • ช่วยเร่งการเผาผลาญของไขมัน
  • กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว ทำให้ผิวเรียบเนียนและกระชับสัดส่วน
  • กระตุ้นให้ร่างกายขับของเสียในรูปของเหงื่อและน้ำเหลือง
  • ในบางรายอาจน้ำหนักลด

กี่ครั้งจึงเห็นผล

เห็นผลตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ โดยผิวจะกระชับเรียบเนียน แต่ผลจะเกิดขึ้นมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับอายุ และสภาพของผิวหนังในแต่ละบุคคล

ข้อปฏิบัติหลังจากการทำ RF

  • หลังจากการทำทรีตเมนท์ภายใน 24 ชั่วโมง ควรดื่มน้ำเปล่า 3-4 ลิตรเพื่อให้ร่างกายขับของเสียได้อย่างสมบูรณ์
  • ควรออกกำลังกายและลดอาหารควบคู่กับการทำทรีตเมนท์เพื่อให้การขจัดไขมันและเซลลูไลท์ได้ผลมากยิ่งขึ้น
เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล