ซาวน่า (Sauna)
ซาวน่า
การอาบซาวน่าแสงฟาร์อินฟราเรด (Far Infrared) เป็นนวัตกรรมใหม่ที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพร่างกายและผิวพรรณ พลังงานความร้อนจากคลื่นอินฟราเรดจะให้ความอบอุ่นต่อร่างกาย เหมือนกับพลังงานแสงอาทิตย์ แต่ไม่มีรังสียูวีจึงไม่มีผลข้างเคียงต่อร่างกาย
การทำงานของแสงอินฟราเรด
แสงอินฟราเรด จะไปกระตุ้นโมเลกุลน้ำให้เปลี่ยนเป็นไอออน ทำให้เลือดหมุนเวียนได้ดีขึ้น ส่งผลให้การทำงานของระบบต่างๆ ภายในร่างกายดีขึ้น
ประโยชน์ของการซาวน่า
- กระตุ้นการไหลเวียนเลือด
- เร่งการขับเหงื่อ ล้างสารพิษออกจากร่างกาย
- ชะลอวัย ช่วยให้ผิวพรรณผ่องใส สุขภาพดี
- กระตุ้นการเผาหลาญไขมันได้ดี ลดเซลล์ลูไลต์ และอาการบวมน้ำ
- ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ลดความตึงเครียด
- แสงอินฟราเรดทำให้ร่างกายอุ่นและมีความปลอดภัยสูง เหมาะกับทุกเพศ ทุกวัย ต่างจากการซาวน่าทั่วไปที่ใช้ความร้อนสูงมาก และส่งกับผลเสียต่อร่างกายได้
ข้อควรระวัง
- ห้ามทำระหว่างมีประจำเดือน เพราะอาจทำให้เกิดการตกเลือดเพิ่มมากขึ้น
- คนที่มีโรคความดันโลหิตสูง
- ผู้หญิงตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์ก่อน
Hyperpigmentation
Hyperpigmentation?
ฝ้า (Melasma) คือรอยดำเป็นแผ่น หรือปื้นตามใบหน้า มักจะเกิดบริเวณแก้ม จมูก หน้าผาก คาง บริเวณเหนือริมฝีปาก เกิดจากเซลล์ผลิตเม็ดสีผิวมากเกินไป (Hyperpigmentation) ทำให้ผิวบริเวณนั้นมีสีเข้มขึ้นบริเวณเล็กๆ จนกระทั่งลุกลามเป็นปื้นขนาดใหญ่ขึ้นส่วนใหญ่มักเกิดในผู้หญิงอายุ 25-55 ปี
สาเหตุที่ทำให้เกิด “ฝ้า” มีอะไรบ้าง
- การทานยาคุมกำเนิด เพราะจะทำให้ผิวหน้าไวต่อแสงแดดมากขึ้น การที่ผิวสัมผัสกับแดดโดยตรงและเป็นเวลานานๆ จะกระตุ้นให้เซลล์ผิวเม็ดสีผิว (melanin) เพิ่มมากขึ้น ทำให้สีผิวเข้มขึ้นได้
- สภาวะตั้งครรภ์ เป็นการสภาวะเปลี่ยนแปลงการหลั่งฮอร์โมนเพศหญิงจากรังไข่มากกว่าปกติ ความผิดปกตินี้จะทำให้เกิดฮอร์โมน MSH ไปกระตุ้นให้ผิวผลิตเม็ดสีผิวเพิ่มมากขึ้น ทำให้คนท้องเกิดฝ้าได้ง่าย
- การใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของน้ำหอม เพราะน้ำหอมที่อยู่ในเครื่องสำอางหรือสกินแคร์ที่ตกค้างบนผิวหนังชั้นล่าง มักทำปฏิกิริยากับแสงแดดและทำให้เม็ดสีผิวสะสมที่ผิวชั้นล่าง และเกิดฝ้าฝังลึกได้
วิธีการรักษาฝ้า
- รักษาด้วยการเปลี่ยนเซลล์ผิว เป็นการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิวหนังชั้นกำพร้าให้หลุดลอกออก เพื่อให้ฝ้าจางลง
- รักษาด้วยครีม ส่วนผสมในครีมประเภท Whitening ที่มีคุณสมบัติยับยั้งเอนไซม์สร้างเม็ดสีผิว เช่น
– สารสกัดจากรากชะเอมเทศ
– สารสกัดมะขามป้อม
– สารสกัดทับทิม
– วิตามินซี - รักษาด้วยเลเซอร์ ND Yag 532 สามารถรักษาฝ้าระดับตื้นได้ สำหรับคนที่รักษาด้วยครีมไม่เห็นผล
- รักษาด้วย IPL ควรทำควบควบคู่ไปกับการทาครีม เพื่อป้องกันการสร้างเม็ดสีผิวขึ้นมาใหม่ หรือทำร่วมกับการผลัดเซลล์ผิว เพื่อให้เม็ดสีผิวจางลงเร็วยิ่งขึ้น *ควรใช้ครีมกันแดดร่วมไปกับการรักษาฝ้าเสมอ เพื่อป้องกันการเกิดฝ้าซ้ำ
วิธีการป้องกันและรักษาสิวอักเสบ
สิวอักเสบ (Inflammatory Acne) แบ่งออก 3 ชนิด
- สิวหัวแดง (Red papules) คือสิวที่เกิดอาการอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย C. acnes และแบคทีเรียชนิดแกรมบวก (Gram-positive bacteria)
- สิวหัวหนอง (Pustules) คือสิวที่เกิดการอักเสบจาดเชื้อแบคทีเรียชนิดแกรมลบ (Gram-negative bacteria) ซึ่งมีการอักเสบที่รุนแรงกว่า หรืออาจเกิดจากเชื้อ Staphylococcus aureus ซึ่งเป็นแบคทีเรียชนิดแกรมบวก
- สิวหัวช้าง (Cystic acne) คือสิวที่มีลักษณะเป็นซีสต์ (Cyst) หรือถุงน้ำ การเกิดสิวหัวช้างคล้ายกับการเกิดสิวหัวขาวแต่อักเสบกว่าและลุกลาม เป็นเม็ดนิ่มขนาดใหญ่และมีหนอง
วิธีการป้องกันและรักษาสิวสิวอักเสบ
- การใช้ยา ซึ่งต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ผิวหนัง และต้องรับประทานยาให้ครบปริมาณตามคำสั่งของแพทย์เพื่อป้องกันการดื้อยา
– ยาในกล่มต้านเชื้อแบคทีเรีย (Anti-biotic)
– ยากลุ่มวิตามินเอสังเคราะห์ (Retinoid) เพื่อลดการอุดตันของรูขุมขน - ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสม BHA (Salicylic Acid) , PHA (Glucยากลุ่มวิตามินเอสังเคราะห์ (Retinoid) เพื่อลดการอุดตันของรูขุมขนonolactone) , LHA (Capryoyl Salicylic Acid) ช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออก และสารกลูแคน (Glucan) หรือแอลลันโดอิน (Allantoin) ช่วยให้สมานแผลให้หายเร็วขึ้น
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาบางชนิด เช่น ยากลุ่มสเตียรอยด์ ซึ่งมีผลต่อการเปลี่ยนสภาพผิวหน้าให้เหมาะต่อการเจริญเติบโตของยีสต์ ซึ่งเป็นตัวการให้เกิดอักเสบบริเวณรูขุมขน
- หมั่นดูแลความสะอาดผิวหน้าเป็นประจำ โดยล้างหน้าวันละ 2-4 ครั้ง ตามสภาพผิวด้วยเจลล้างหน้าที่อ่อนโยน ทำความสะอาดผิวได้ดี ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง และไม่ควรถูหรือนวดหน้าแรงๆ เพราะจะเป็นการกระตุ้นให้ต่อมไขมันแตกและเกิดการอักเสบได้
- การใช้ยา ซึ่งต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ผิวหนัง และต้องรับประทานยาให้ครบปริมาณตามคำสั่งของแพทย์เพื่อป้องกันการดื้อยา
หลุมสิว
หลุมสิว?
หลุมสิว คือรอยแผลเป็นจากสิวชนิดหลุม เป็นกระบวนการรักษาตัวเองอย่างหนึ่ง เกิดจากการอักเสบของสิว ที่มีเชื้อแบคทีเรียและหนองอยู่ภายใน การอักเสบของผิวทำให้เกิดการหลั่งเอนไซม์ย่อยสลาย คอลลาเจนที่ผิวและเนื้อเยื่อรอบข้าง ทำให้ผิวบริเวณที่เกิดการอักเสบยุบตัวลงไป และร่างกายมีการสร้างพังผืดดึงรั้ง ทำให้เกิดหลุมสิว
วิธีการรักษาหลุมสิว
- การผลัดเซลล์ผิว (Peeling) เป็นการกระตุ้นให้เซลล์ผิวสร้างคอลลาเจนใหม่ ช่วยให้ผิวหน้าเรียบเนียนขึ้น ควรทำเดือนละ 1 ครั้ง
- การกรอหน้า การกรอหน้าหรือการกรอผิว จะช่วยผลัดเซลล์ผิวชั้นขี้ไคลออกได้ลึกกว่าการผลัดเซลล์ผิวธรรมดา สามารถทำร่วมกันได้ โดยการกรอหน้าสลับกับการผลัดเซลล์ผิว ทุกๆ 2 สัปดาห์ จะกระตุ้นการส้รางเส้นใยคอลลาเจนใหม่ เพื่อให้ผิวชั้นบนเรียบเนียนขึ้น
- การทาครีม การทาครีมที่มีส่วนผสมอนุพันธ์วิตามินเอก่อนนอนเพื่อลดรอยแผลเป็น หากรู้สึกแสบหรือระคายเคือง ให้ทาสลับกับเวชสำอางที่มีส่วนผสมของวิตามินซีในตอนเช้า ข้อดีของการทาครีมที่มีอนุพันธ์วิตามินเอคือสามารถซึมลงสู่ผิวชั้นล่างได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถใช้แทนการรักษาแบบไอออนโต (Iontophoresis)
- การทำเมโส (Mesotheraphy) การใช้เทคนิคเมโสฉีดสารอาหารเข้าใต้หลุมสิวทุกหลุม เพื่อให้เซลล์นำสารอาหารไปสร้างเส้นใยคอลลาเจนของตนเอง เพื่อให้หลุมสิวตื้นขึ้น และวิธีนี้ยังสามารถช่วยให้ผิวหน้าใสอีกด้วย
- การเลเซอร์ การเลเซอร์แบบคิว-เรย์ (Q-ray Laser) เป็นการฉายแสงเป็นจุดๆ และเปลี่ยนจากคลื่นแสงเป็นพลังงานความร้อนไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ทำให้รอยหลุมตื้นขึ้นและช่วยรักษาริ้วรอยได้อีกด้วย
การรักษาขึ้นอยู่กับรักษาแผลของแต่ละบุคคล บางรายอาจต้องใช้หลายวิธีร่วมกันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี
เซลลูไลท์ (Cellulite)
เซลลูไลท์ หรือผิวเปลือกส้ม คือไขมันที่สะสมอยู่ใต้ผิวหนัง ส่งผลให้เลือดไหลเวียนไม่ดี จนทำให้ผิวบริเวณดังกล่าวเป็นตะปุ่มตะป่ำ คล้ายเปลือกส้ม โดยมีสาเหตุและปัจจัยมาจากกรรมพันธุ์ ฮอร์โมน การรับประทานอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูง เช่น ของทอด ขนมหวาน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การขาดการออกกำลังกาย ความเครียด เป็นต้น ซึ่งระดับความรุนแรงของผิวเปลือกส้มแบ่งเป็น 4 ระดับ ได้แก่
- ระดับที่ 1 เกิดรอยนูนตะปุ่มตะป่ำ เมื่อจับผิวยกขึ้น
- ระดับที่ 2 มองเห็นรอยนูนตะปุ่มตะป่ำ เมื่อให้เกร็งกล้ามเนื้อต้นขา
- ระดับที่ 3 มองเห็นรอยนูนตะปุ่มตะป่ำ แม้ไม่เกร็งกล้ามเนื้อ
- ระดับที่ 4 มีเยื่อหุ้มเซลล์ไขมัน คลำได้เป็นก้อนนูนแข็ง
การรักษาและป้องกันการเกิดเซลลูไลท์
- รักษาโดยการใช้คลื่นความถี่ RF (Radio Frequency) เป็นการใช้เครื่องมือที่ใช้คลื่นไฟฟ้าปล่อยผ่านผิวเข้าไปสู่ชั้นไขมัน ทำให้อุณหภูมิในชั้นไขมันสูงขึ้น ส่งผลให้เส้นใยคอลลาเจนเกิดการหดกระชับตัว และทำให้ระบบไหลเวียนเลือดและน้ำเหลืองทำงานได้ดีขึ้น จึงเพิ่มการขับของเสียออกทางน้ำเหลือง
- ทาครีมที่ช่วยลดเซลลูไลท์ โดยครีมจะช่วยให้ระบบไหลเวียนโลหิตทำงานได้ดีขึ้น ช่วยละลาย ไขมันทำให้ผิวเรียบเนียน
- ลดน้ำหนักและควบคุมอาหาร โดยการเลือกรับประทานที่มีไขมันต่ำ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูง เพื่อลดการสะสมไขมันในร่างกาย
- ออกกำลังกายเป็นประจำ ช่วยให้ผิวเปลือกส้มแลดูกระชับขึ้น พร้อมเสริมสร้างความแข็งแรง ของกล้ามเนื้อ
- ดูดไขมัน (Liposuction) เป็นวิธีที่เห็นผลเร็วแต่ผลข้างเคียงค่อนข้างมาก ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ